เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อแสดงความคิดเห็น/โหวต

มหาวิทยาลัยจะดูแลสุขภาพจิตนักศึกษาได้อย่างไรบ้าง : กรณีศึกษา Fulbright University Vietnam

สวัสดีค่ะภาคีเครือข่ายทุกท่าน 

ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด 19 เราพบว่าสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตมีความรุนแรงมากขึ้น 

นักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป 

ขาดพื้นที่ทางสังคม จากที่เคยเรียนในคลาส ก็ต้องมาเรียนออนไลน์ รูปแบบการฝึกงาน หรือการฝึกทักษะต่างๆ

เพื่อที่จะต้องเตรียมตัวเข้าสู่วัยทำงานก็มีข้อจำกัดมากยิ่งขึ้น 

 

วันนี้สถาบันรักลูก ขอใช้พื้นที่นี้มาแชร์รูปแบบการทำงานด้านส่งเสริมสุขภาพจิตในมหาวิทยาลัย

ซึ่งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจจาก  Fulbright University Veitnam ที่นำเสนอในงานสานพลังเครือข่ายขับเคลื่อนงานสุขภาพจิต สนับสนุนโดย สสส. 

โดย ดร.สกุลทิพย์  ศิริกันตราภรณ์ ผู้ที่คร่ำหวอดในงานด้านสุขภาพจิตวัยรุ่นและเป็นผู้ที่ได้ร่วมจัดตั้ง Wellness Center ของ Fulbright University Veitnam 

 

 

 

 

 

มนุษย์ในช่วงวัยรุ่น  เป็นช่วงวัยที่มักตั้งคำถามว่า "ฉันคือใคร" คำถามนี้ไม่เพียงถามว่าเราคือใคร แต่เป็นนัยยะที่สื่อความหมายถึง การค้นหาอัตลักษณ์ ค้นหาตัวตน มักเกิดคำถามกับค่านิยมต่างๆ ในสังคม  ซึ่งสะท้อน เหมือนกับที่ Jeffrey Arnett (1997)  ได้พูดถึงรอยต่อของการพัฒนาจากวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ว่าจะเป็นช่วงแห่งการสำรวจอัตลักษณ์  มีความไม่แน่นอนในตัวเอง สามารถโฟกัสกับตัวเองได้เต็มที่ ยังมีความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความเป็นเด็กกับผู้ใหญ่ และมีความเป็นไปในการทำอะไรต่าง ๆ 

 

ดังนั้นในความเปลี่ยนผ่านแบบนี้ ชีวิตในวัยนี้จึงสำคัญอย่างมากที่ต้องให้ความสนใจ พูดคุยถึงสุขภาพจิตและมองให้เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการพูดคุยเรื่องสุขภาพทางกาย ต้องมีการสร้างพื้นที่ที่เป็น safe zone ให้กับนักศึกษาโดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่เป็นสถานที่ที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่เกือบทั้งวัน และเมื่อไหรก็ตาม หากนักศึกษาต้องการพื้นที่เพื่อปรึกษา ต้องการคนช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพจิต เวลานั้น มหาวิทยาลัยต้องอ้าแขนรับเเละเป็นที่ปลอดภัยให้กับนักศึกษาทุกคนได้ 

 

กลยุทธ์ในการสร้าง Wellness Center ของ Fulbright University Veitnam  มี 4 เรื่องหลักที่จะทำให้เกิดการทำงานอย่างบูรณาการให้งานด้านสุขภาพจิตของมหาวิทยาลัยเป็นงานที่ต้องขับเคลื่อนไปกับงานพัฒนานักศึกษาในด้านอื่นๆ  ได้แก่ 

1. การทำให้เรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องพื้นฐาน

  1. 2.สร้างพื้นที่บริการที่ปลอดภัย
  2. 3.ประสานงานระหว่างหน่วยงานในองค์กร
  3. 4. ทำงานและศึกษาวิจัยไปพร้อมๆ กัน 

 

"คุณค่าของ wellness อยู่ที่ความสบายใจในการพูดคุยในเรื่องสุขภาวะ มีพื้นที่ปลอดภัยในทุกภาคส่วนไม่ใช่กระจุกอยู่แค่ในมหาวิทยาลัย

เพราะเมื่อเด็กเกิด าวะวิกฤติเด็กจะสามารถมีพื้นที่มากกว่าในมหาวิทยาลัยในการไปพูดคุยปรึกษาลดความแปลกแยกในส่วนการบริการในมหาวิทยาลัย ประเด็นสุดท้าย ต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยด้วย" (ดร.สกุลทิพย์  ศิริกันตราภรณ์)