เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อแสดงความคิดเห็น/โหวต

นาทีเผชิญความตาย

เผชิญความตาย !!!

 

มันคือนาทีแห่งความยากลำบาก

เมื่อต้องเอ่ยคำร่ำลาก่อนสัญญาณชีพจรคุณตาจะดับลง

 

ผมมีโอกาสเข้าร่วมเรียนรู้ ในโครงการอบรม“กระบวนกรชุมชนเพื่อการวางแผนดูแลล่วงหน้า”

เรียกง่าย ๆ ว่า โครงการ“แฮปปี้เดทเดย์” การเตรียมตายก่อนตาย เป็นระยะเวลา 2 วัน 

จัดโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะภูมิภาค จ.ลำปาง และโรงพยาบาลน่าน

ซึ่งได้รับการสนับสนุนสื่อและกระบวนกรจากโครงการชุมชนกรุณา 

เพื่อการอยู่และตายดีของกลุ่ม Peaceful Death

 

อบรมผ่านไปหนึ่งอาทิตย์

‘ตามา’ วัย 85 ปี เป็นคุณตาของภรรยาผม

ถูกส่งมารักษายังโรงพยาบาลประจำจังหวัดแพร่

ด้วยโรคปอดบวมและหัวใจพอง 

 

สองวันแรกอาการคุณตายังดูดี วันที่สามเริ่มไม่เข้าที

วันที่สี่ท่านเริ่มทรุด ลูกหลานจึงหยุดทุกงานรีบมาเฝ้าดูแล

 

การอบรมทำให้มีทักษะการสื่อสารเรื่องความตาย

ผมจึงพอตั้งสติชวนตั้งวงคุยกับลูกหลานเตรียมพร้อมรับมือหากถึงเวลาต้องสูญเสีย

 

บทสนทนาระหว่างคนใกล้ชิดจึงถูกเปิดประเด็นคุย “ทำอย่างไรให้ท่าน ตายดี ???”

ได้มติเป็นเอกฉันท์ หากนาทีนั้นมาถึง เราจะไม่ยื้อชีวิตไว้เพียงเพื่อยืดการตาย

ไม่ช็อตกระแสไฟฟ้า หรือใส่ท่อช่วยหายใจ เพราะไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมาน

สอดคล้องกับเจตนาของตามาว่าไม่ต้องการให้แพทย์ใช้เครื่องพยุงชีพ

 

ก่อนหน้านี้ตามายังสื่อสารได้ตามปกติ

ผมมีจังหวะนาทีทองพูดคุยถึงเรื่องความตาย

ชวนสะสางสิ่งค้างคาใจที่อยากทำ

 

ได้คำตอบว่าท่านอยากกลับไปเที่ยวบ้านเกิด อ.เชียงของ จ.เชียงราย อีกสักครั้ง

ท่านไม่มีความกลัว(ตาย) ไม่รู้สึกผิดกับเรื่องไหน ไม่โกรธในโชคชะตา ไม่ห่วงในเรื่องใด 

มีเพียงคิดถึงหลาน ๆ ที่อยู่กรุงเทพฯ กับหลานรักที่อยู่เมืองจันทบุรี

ตามาไม่ลืมบอกความลับว่าซุกซ่อนเงินก้อนหนึ่งไว้ในลิ้นชักห้องนอน

 

เสียง ติ๊ด ๆ ๆ จากเครื่องติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย

แม้ไม่เข้าใจในตัวเลขหลายแถวในจอมอนิเตอร์

แต่ก็รับรู้ว่าคือช่วงเวลาวิกฤตของตามา

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อผสมกลิ่นยาเจือกลิ่นต่าง ๆ ของผู้คนในห้องรวม

เสียงร้องโอดโอยแสดงความเจ็บปวดของคนไข้สักเตียงแว่วมา

 

แสงไฟสว่างจ้าตลอดเวลา แต่กลับให้ความรู้สึกมัวหมองหดหู่

พยาบาลสาวส่งยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนจะให้กำลังใจญาติคนไข้

เธอนำลำโพงตัวเล็กเปิดเสียงบทสวดโพชฌงคปริตร

เสียงนั้นแว่วเบา ๆ 

ทว่ากับดังพอจะทิ่มแทงหัวใจคนข้างเตียง

รับรู้ทันทีว่า ช่วงท้ายของชีวิตคุณตามาถึงแล้ว

 

“พี่ช่วยพูดอะไรดี ๆ ส่งตาหน่อยสิ” ภรรยาผมบอกด้วยสายตาวิงวอน

ครึ่งหนึ่งของชีวิตผม อาชีพที่ใช้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวล้วนต้องอาศัยการพูด

แต่การพูดครั้งนี้ยากกว่าครั้งใด ๆ และยังไม่เคยพูดให้ใครสักครั้ง

 

“ตาให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ 

นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ นึกถึงความดีที่ตาเคยทำมา 

หากตาจะไปแล้วก็ไปเถอะไม่ต้องห่วงอะไรทางนี้นะตา”

นาทีนั้นผมคิดเพียงแค่นั้น ตามายังนอนหลับตานิ่ง คิดว่าท่านคงได้ยิน 

 

เสียงเครื่องจับชีพจรดังติ๊ด ๆ แสดงถึงการมีชีวิตอยู่

ภรรยาผมโทรศัพท์เปิดกล้องหาหลาน ๆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นหน้า

เอ่ยคำร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนคุณตาจะออกเดินทางไกล

เรารู้สึกแน่นในอกจุกที่คอ ปล่อยน้ำตาไหลซึมแทนคำพูด

คืนนั้นตามาจากพวกเราไปอย่างสงบและมีความหมายท่ามกลางลูกหลานที่มาส่ง

 

วันนี้งานบำเพ็ญกุศลศพของตามาผ่านไปด้วยดี

มีเพียงเรื่องเดียวยังค้างคา

เพราะเคยได้ยินมาว่าคนใกล้ตายส่วนใหญ่

มักเสียใจกับ “สิ่งที่ไม่ได้ทำ” มากกว่า “สิ่งที่ทำลงไป”

รู้สึกเสียดายที่ตามาไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดก่อนตาย

ได้เพียงพารูปถ่ายในกรอบใหญ่ไปทำบุญ